Pannapan Yodmanee
1988, Nakhon Si Thammarat, Thailand
Pannaphan Yodmanee was born in Nakhon Si Thammarat in Southern Thailand. She studied Buddhist Art as a child. Focusing on the relation between Buddhist teachings and humanity, her work portrays such universal themes as fear, loss, suffering, devastation, and the karmic cycles of death and rebirth. Combining traditional Thai art objects and contemporary elements, along with drawings and sculptures, she creates artistic spaces reminiscent of a spiritual world beyond a specific religion.
Pannaphan examines the relevance of Buddhist philosophy to our lives. Utilizing a combination of raw, natural materials with found objects of contemporary origin, her works imbue the painted designs and motifs endemic to traditional Thai art with the universal and persistent themes of loss, suffering, devastation, and the karmic cycles of death and rebirth. Her accolades include top prizes in the Thai Traditional Painting Awards 2013, as well as the Young Thai Artist Awards 2006–2007. In 2015, her works were showcased at the Thailand Eye exhibition presented at the Saatchi Gallery, London and later at the Bangkok Art and Culture Center. In 2016, Pannaphan wins the Benesse Prize, while Singaporean artist Zulkifle Mahmod is awarded an inaugural special award. She lives and works in Bangkok, Thailand.
ปานพรรณ ยอดมณี
เกิด พ.ศ. 2531, นครศรีธรรมราช, พำนักและทำงานที่กรุงเทพมหานคร
ปานพรรณ ยอดมณี ได้รับการบ่มเพาะเกี่ยวกับศิลปะตั้งแต่วัยเยาว์ เธอเริ่มต้นจากการเข้าร่วมชมรมศิลปะในวัดกะเปียด ซึ่งเป็นวัดใกล้บ้านในจังหวัดนครศรีธรรมราช กับเจ้าอาวาสซึ่งเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนเพาะช่าง โดยใช้เวลาช่วงปิดเทอมเรียนศิลปะไทยประเพณี วิธีการผูกลาย ปั้นลาย และเขียนลายไทย ด้วยฝีมือที่โดดเด่นในวัยเพียง 10 ขวบ ปาณพรรณจึงได้โอกาสทำงานตั้งแต่เด็ก ทั้งเขียนลายไทยและวาดภาพต่างๆ ที่วัด, ศาลา,โรงเรียนอนุบาล, ป้ายประกาศ, หรือแม้แต่ภาพในถ้ำ โดยได้รับค่าตอบแทนมากพอสำหรับเป็นค่าเทอม จนกระทั่งเข้าเรียนต่อด้านศิลปะที่มหาวิทยาลัยช่างศิลป นครศรีธรรมราช และเริ่มทดลองเทคนิคใหม่ๆ ทั้งจิตรกรรมและงานปั้น จากนั้นเข้าเรียนระดับปริญญาตรีที่ คณะจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ฯ สาขาศิลปไทย มหาวิทยาลัยศิลปากร กรุงเทพฯ
เธอนิยามตัวเองว่า “ไม่ใช่คนหัวโบราณ แต่เป็นศิลปินอนุรักษ์นิยมที่มีหัวก้าวหน้า” เมื่อความรู้ด้านงานไทยประเพณีมาผสานกับเทคนิคการนำเสนอศิลปะแบบร่วมสมัย ผนวกกับความกล้าในการทดลองวัสดุและวิธีการใหม่ๆ ทำให้งานของปานพรรณโดดเด่น และแตกต่างจากศิลปินร่วมรุ่น ทั้งงานปูน งานปั้น งานจิตรกรรม จนในช่วงหลังๆ ขยายขึ้นมาเป็นศิลปะจัดวางขนาดใหญ่ ( Installation ) แม้วัสดุและเทคนิคที่ใช้จะหลากหลาย แต่แนวคิดในการทำงานของปานพรรณ ค่อนข้างมีความต่อเนื่องอยู่บนพื้นฐาน การค้นหาความเชื่อมโยงระหว่างปรัชญาศาสนาพุทธ กับ สภาพการณ์ในชีวิตจริง ทั้งเรื่องความเสื่อมสลาย ความทุกข์ การสูญเสีย การเกิดและความตาย ชีวิตของคนเรา ความสูญเสีย และกฎแห่งกรรมซึ่งเป็นเรื่องสากล
ปานพรรณเริ่มเป็นที่รู้จักจากการได้รับรางวัลมากมายในเวทีประกวดต่างๆ ในประเทศไทยและในภูมิภาค เช่น รางวัลที่ 3 (พ.ศ. 2553, 2554) และรางวัลที่ 1 (2556) จิตรกรรมบัวหลวง กรุงเทพฯ, รางวัลที่ 2 การประกวดศิลปกรรมแห่งชาติครั้งที่ 58 (2554), ปี พ.ศ. 2553, รางวัลชมเชย 29th UOB Painting of the Year Exhibition, สิงคโปร์, ปี 2557 ที่ได้เข้าร่วมนิทรรศการ Thai Charisma: Heritage + Creative Power ทีหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ด้วยงานจิตรกรรมฝาผนังขนาดใหญ่แบบติดตั้งเฉพาะที่ เน้นให้เห็นพลังในการทำงานของศิลปิน ที่ประยุกต์วิธีการทำภาพจิตรกรรมฝาผนังแบบโบราณ ที่เคยอยู่แต่ในวัด ให้หลุดออกมาบนพื้นที่ร่วมสมัย และสื่อสารเรื่องราวเกี่ยวกับ ความเสื่อมสลายของสรรพสิ่งได้ใกล้ชิดผู้คนมากขึ้น โดยการเขียนภาพแบนๆ แบบจิตรกรรมฝาผนังและเติมด้วยวัตถุ เข้าไปบนพื้นผิว ทำให้งานมีความเป็น 3 มิติมากขึ้น, จากนั้นเธอก็ได้แสดงนิทรรศการอีกหลายแห่ง เช่น ร่วมแสดงในนิทรรศการ ในปี 2558 นิทรรศการเดี่ยว Prophesy, Myth/History II: Shanghai Galaxy และ Yuz Museum เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน, the Prophesy of Time กับ Yavuz Gallery ที่ Art Stage สิงคโปร์, นิทรรศการกลุ่ม Thailand Eye, Saatchi Gallery, ลอนดอน,
ปานพรรณเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติมากขึ้นเมื่อผลงาน Aftermath งานจิตรกรรมฝาผนังและประติมากรรม สื่อผสมจัดวางขนาดใหญ่ ที่สื่อถึงความล่มสลายของอารยธรรม ที่ได้รับเลือกไปแสดงในเทศกาลสิงคโปร์ เบียนนาเล่ 2016 และได้รับรางวัลชนะเลิศ Benesse Prize ซึ่งนอกจากเงินรางวัลแล้ว เธอยังจะได้มีโอกาสไปสร้างผลงานติดตั้งแบบถาวร บนเกาะนาโอชิมา ที่เป็นหมู่เกาะศิลปะ ชื่อดังของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย นับว่าเป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ในวัยเพียง 29 ปี